หน้าฝนนี้ขับรถไปไหนก็เจอแต่น้ำท่วม ถึงแม้จะขับผ่านไปได้ แต่อาจมีข้อเสียที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานตามมาภายหลัง โดยเฉพาะการขับรถลุยน้ำที่มีระดับสูงเกินครึ่งล้อ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังจากขับรถผ่านน้ำท่วมมาแล้ว คือการตรวจเช็คความเสียหายต่างๆ ที่อาจเกิดกับรถจากการลุยน้ำท่วมมา
ยิ้มได้ประกันภัย ได้นำ 5 สิ่งที่ควรเช็คหลังจากขับรถลุยน้ำท่วมมาฝากกันครับ มีอะไรบ้างไปดูกันเลย
1.ระบบเบรก
สำหรับระบบเบรกของรถยนต์นั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ “ดิสก์เบรก” กับ “ดรัมเบรก” ซึ่งน้ำกับโลหะเมื่อมาเจอกัน จะทำให้โลหะเกิดสนม ทำให้เบรกติดขัด น้ำมันเบรกเกิดความชื้น เบรกลื่น และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งสิ่งที่ปนเปื้อนและเศษผงที่มากับน้ำนั้นสามารถทำให้เบรกติดขัดเกิดเป็นรอยบนชุดจานเบรกได้
2.ลูกปืนล้อ
ลูกปืนล้อหากถูกแช่น้ำเป็นเวลานาน อาจส่งผลทำให้พังเร็วได้ สังเกตอาการได้จากเสียงที่ดังขึ้นเวลาวิ่งด้วยความเร็วสูง เพราะจารบีที่คอยไว้ใช้สำหรับหล่อลื่นภายในลูกปืนนั้นได้หายไปกับน้ำ หรืออาจเกิดความเสื่อมสภาพเมื่อถูกน้ำ แต่หากผู้ขับขี่ขับรถวิ่งผ่านน้ำเฉยๆ จะไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ทั้งนี้ควรเช็คอาการเผื่อเอาไว้ก่อนก็ดีครับ
3.เพลาขับและเฟืองท้าย
ชุดเพลาขับและเฟืองท้าย เป็นอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงที่จะโดนน้ำเข้า ถ้าหากยางหุ้นเพลาเสื่อมหรือฉีดขาด มีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปชะล้างจารบีที่อยู่ภายในสูงพอตัว ส่วนเฟืองท้าย น้ำสามารถเล็ดเข้าไปในท่อหายใจของน้ำมันเฟืองท้ายได้หลังจากที่ขับรถลุยน้ำมาแล้ว หากเพลามีปัญหาก็จะมีเสียงดังออกมา สามารถแก้ไขได้โดยการทาจารบีใหม่ เปลี่ยนยางหุ้นเพลาใหม่และเปลี่ยนถ่ายของเหลว
4.ระบบปรับอากาศ
หากขับรถลุยน้ำขังบ่อยๆ อาจส่งผลทำให้น้ำเข้ามาในรถแบบไม่รู้ตัว จนเกิดความชื้นส่งกลิ่นเหม็นสาปภายในรถยนต์ ถึงแม้ว่ารถเราจะไม่ได้จมน้ำ แต่กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อาจวนเวียนอยู่ภายในรถก็ได้ ทั้งนี้อย่าลืมหาโอกาสไปกำจัดกลิ่นในระบบแอร์ด้วยนะครับ
5.น้ำมันเครื่อง
สิ่งสุดท้ายที่ควรเช็คว่า น้ำมันเครื่องมีส่วนผสมของน้ำอยู่หรือไม่ โดยวิธีการดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกเพื่อมาดูเนื้อของตัวน้ำมัน หากเป็นเนื้อเดียวกันแสดงว่าไม่มีน้ำผสมอยู่ แต่ถ้าดึงก้านออกมาแล้วพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีออกน้ำตาล หรือแยกชั้นกันระหว่างน้ำกับน้ำมัน แสดงว่า น้ำได้เข้าไปรวมกับน้ำมันเครื่องเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ต้องนำรถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองใหม่ทั้งหมดทันที
วิธีขับรถลุยน้ำท่วม
- ก่อนถึงจุดน้ำท่วมต้องลดความเร็วลง เพราะหากขับรถมีความเร็วผ่านบริเวณน้ำขัง รถจะเบาและเสียการทรงตัว อาจส่งผลให้ควบคุมรถไม่อยู่ โดยอย่าใช้ความเร็วมากกว่า 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ระดับน้ำที่ขับผ่านไปได้ หากเป็นรถขนาดเล็กควรระมัดระวังการขับรถผ่านน้ำท่วมสูง เพราะมีโอกาสที่เครื่องยนต์จะดับได้
- หากจำเป็นต้องลุยสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก อันดับแรกปิดแอร์ พร้อมเปิดกระจกระบายอากาศ เพราะใบพัดอาจพัดน้ำเข้าเครื่องได้ หรือเข้าระบบไฟฟ้าได้
- ขณะขับรถควรใช้เกียร์ต่ำ และรักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ ซึ่งสูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องได้นั่นเอง
- ขณะขับลุยน้ำให้รักษาระยะห่างรถคันหน้า เพราะระบบเบรกเมื่อแช่น้ำอยู่ประสิทธิภาพจะลดลง เมื่อพ้นน้ำแล้วให้ขับช้าๆ และเบรกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผ้าเบรกและดิสเบรกแห้งเร็ว
- หากเครื่องดับกลางน้ำให้หาคนช่วยย้ายรถไปตำแหน่งที่น้ำไม่ท่วม และอย่าสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะจะทำให้น้ำยิ่งเข้าไปในระบบเครื่องยนต์มากขึ้น
สำหรับรถยนต์ที่อาจเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม หากรู้ตัวแล้วให้รีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อให้ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ไม่ทำงาน ทางที่ดีไม่ควรขับรถลุยน้ำเพราะเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไม่ถูกกับน้ำ หากใครที่รถถูกน้ำท่วม แล้วทำประกันภัยรถยนต์เอาไว้ก็สามารถเคลมได้นะครับ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละกรมธรรม์)
เป็นยังไงกันบ้างครับจะเห็นได้ว่าน้ำและความชื้น อาจสร้างความเสียหายให้กับรถได้มากพอสมควร ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเช็ครถหลังจากขับลุยน้ำท่วมขังอยู่เสมอ หากรถมีความผิดปกติจะได้นำรถเข้าซ่อมได้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงตามมานั้นเอง ยิ้มได้ประกันภัย จึงขอแนะนำว่าให้มีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้อุ่นใจดีกว่าครับ อย่างน้อยช่วยชดเชยความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากเหตุน้ำท่วมได้นั้นเอง
เพิ่มความอุ่นใจให้กับรถยนต์ของท่านสามารถทำประกันภัยรถยนต์ที่ ยิ้มได้ประกันภัย เพียงโทร 02-432-2345 หรือ ซื้อประกันภัยผ่านทาง www.yimdaiinsurance.com เพื่อความคุ้มค่ากับความคุ้มครองที่ดีที่สุด