เวลานี้สมกับเป็นหน้าหนาวที่เหมาะสมต้อนรับปี 2568 มาก นอกจากผู้คนจะได้เดินทางไปเที่ยวพบปะสังสรรค์กับครอบครัว เพื่อนฝูง กันแล้วไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือตามสถานที่ท่องเที่ยว บอกได้เลยเรื่องเชื้อโรคมีอยู่มาก ยิ่งหน้าหนาวด้วยแล้วต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้ร่างกายป่วยได้ง่ายกว่าปกติ เนื่องจากในช่วงอากาศเย็นการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจะทำงานได้เป็นอย่างดี เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคต่างๆ ควรสร้างภูมิคุ้มกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ มาดูกันว่าโรคที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าหนาวมีอะไรบ้าง?
6 โรคเฝ้าระวังที่มาพร้อมกับหน้าหนาว
โควิด-19
ปัจจุบันแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ดี
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ดีในสภาพอากาศเย็น โดยมีอาการสำคัญ ได้แก่ ไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บคอ ไอ และอ่อนเพลีย โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามจากผู้ป่วย
อาการ
คัดจมูก มีน้ำมูกใส จาม และอาจมีอาการไอตามมา มักมีไข้ไม่สูงมากประมาณ 1-2 วัน ในบางรายอาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 3-7 วัน
การป้องกัน
- การล้างมือบ่อย ๆ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกัน
- รับประทานอาหารให้มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ
โรคไข้เลือดออก
คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี (Dengue virus) ซึ่งมักจะถูกถ่ายทอดสู่มนุษย์ผ่านการกัดของยุงลายชนิด Aedes aegypti และ Aedes albopictus ไวรัสเด็งกีมีสี่สายพันธุ์ (DENV-1, DENV-2, DENV-3, DENV-4) ซึ่งสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ โดยแต่ละครั้งที่ติดเชื้อไวรัสเด็งกี สายพันธุ์ที่แตกต่างกันอาจมีผลต่อความรุนแรงของโรคได้
อาการ
- มีไข้สูงทันที
- ปวดหัวรุนแรง
- ปวดหลังและกระดูก
- ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการแพ้แสง (Photophobia)
- ผื่นแดง
การป้องกัน
- การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: ยุงลายมักวางไข่ในแหล่งน้ำขัง การกำจัดแหล่งน้ำขังในบ้านหรือในบริเวณรอบๆ เช่น ถังน้ำ, ขวดพลาสติก, กระป๋อง, และภาชนะที่มีน้ำขังจะช่วยลดจำนวนยุงได้
- การใช้ยาทากันยุง: การทายาทากันยุงที่มีสารเคมีกันยุง (เช่น DEET) บริเวณผิวหนังจะช่วยลดการถูกยุงกัด
- การใช้มุ้งกันยุง: การนอนในมุ้งหรือการใช้มุ้งกันยุงจะช่วยป้องกันการถูกยุงกัดในช่วงกลางคืน
- การสวมใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันยุง: สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวช่วยลดพื้นที่ที่ยุงสามารถกัดได้
- การหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการระบาด: หากทราบว่ามีการระบาดของโรคในพื้นที่ใด ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่นั้น
โรคไอกรน
เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ติดต่อผ่านละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจาม ติดง่ายในเด็กเล็กหรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรค จะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไอ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เช่น ไอเป็นชุดยาวจนหายใจไม่ทัน หอบเหนื่อย อาจเกิดภาวะหยุดหายใจและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
อาการ
อาการของโรคไอกรนมักแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะเป็นหวัด (Catarrhal phase): ระยะนี้มีอาการคล้ายหวัดทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำ น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย อาการนี้มักกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ระยะไอรุนแรง (Paroxysmal phase): ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงต่อเนื่องเป็นชุด ๆ โดยไอติดต่อกันหลายครั้งจนหายใจไม่ทัน และเมื่อหายใจเข้าจะมีเสียงดัง “วู้ป” (whoop) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ระยะนี้อาจกินเวลานาน 1-6 สัปดาห์
- ระยะฟื้นตัว (Convalescent phase): อาการไอจะค่อย ๆ ลดลงและหายไปในที่สุด ระยะนี้อาจกินเวลาหลายสัปดาห์
การป้องกัน
การฉีดวัคซีน โดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำในปี 2565 ว่า เด็กไทยควรได้รับวัคซีนป้องกันไอกรนเมื่อตอนอายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน และได้รับการกระตุ้นที่อายุ 18 เดือน และอายุ 4-6 ปี (รวมทั้งหมด 5 ครั้ง) และแนะนำให้กระตุ้นอีกครั้งตอนอายุ 10-12 ปี โดยใช้วัคซีนรวม โรคคอตีบ โรคไอกรน และโรคบาดทะยัก
โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน/อาหารเป็นพิษ
อุจจาระร่วงเกิดจากเชื้อโรต้าไวรัส เป็นอีกหนึ่งโรคที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกอายุ 6-12 เดือน ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากเด็กในวัยนี้ยังมีภูมิต้านทานต่ำ อุจจาระร่วงมักมาพร้อมฤดูหนาว ซึ่งสาเหตุหลักของอุจจาระร่วงเกิดจากเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งเกิดการระบาดยาวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ปีถัดไป
เพราะเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปากผ่านกระเพาะอาหารแล้วไปแบ่งตัวที่ลำไส้ โดยอาการร่วมของอุจจาระร่วง จะมีไข้ ท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก และน่าเป็นห่วงสำหรับเด็กบางรายที่เสียน้ำมากจนช็อกเสียชีวิต
อาการ
- ท้องเสีย: การถ่ายอุจจาระบ่อยครั้งและมีลักษณะเหลวหรือเป็นน้ำ
- ปวดท้อง: อาการปวดหรือเกร็งในท้อง อาจเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากการถ่ายอุจจาระ
- คลื่นไส้และอาเจียน: อาการคลื่นไส้ที่อาจนำไปสู่การอาเจียน
- ไข้: อุณหภูมิร่างกายสูง อาจเกิดขึ้นร่วมกับการติดเชื้อ
- อ่อนเพลีย: รู้สึกเหนื่อยล้า และมีพลังงานต่ำเนื่องจากการสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์จากร่างกาย
- ขาดน้ำ: ผู้ป่วยอาจมีอาการขาดน้ำจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในกระบวนการถ่ายอุจจาระ เช่น ปากแห้ง, ปัสสาวะน้อยลง, ผิวหนังแห้ง หรือการรู้สึกเวียนศีรษะ
การป้องกัน
- การล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังการใช้ห้องน้ำ
- การปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงและไม่รับประทานอาหารที่ดูเหมือนจะไม่สด
- การเก็บรักษาอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม เช่น การเก็บอาหารในตู้เย็น
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด
- การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียมอาหารอย่างสม่ำเสมอ
โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสซูอิส หรือ โรคไข้หูดับ
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus suis ซึ่งเป็นเชื้อที่พบในสุกรและสามารถแพร่กระจายมาสู่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรหรือผู้ที่มีการสัมผัสกับสุกรและผลิตภัณฑ์จากสุกรในลักษณะอื่นๆ
การติดเชื้อ Streptococcus suis สามารถทำให้เกิดอาการได้หลากหลายตั้งแต่ภาวะไข้และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงอาการที่รุนแรง เช่น ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, การติดเชื้อในกระแสเลือด และภาวะหูดับ
อาการ
- ไข้สูงและหนาวสั่น: ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่นอย่างรุนแรง
- ปวดศีรษะ: มักมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอาการเริ่มต้นที่พบบ่อย
- หูดับ: ในบางรายจะมีอาการหูหนวกหรือหูดับ ซึ่งเป็นอาการที่มักเกิดร่วมกับการติดเชื้อในสมอง (เยื่อหุ้มสมองอักเสบ)
- อาการทางระบบประสาท: เช่น สับสน, ชัก, หรืออาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
- การติดเชื้อในกระแสเลือด (Bacteremia): หากแบคทีเรียแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดภาวะช็อคและอาการรุนแรงอื่นๆ
- ปวดข้อและกล้ามเนื้อ: อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อบางครั้งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ: เช่น ไอ, เจ็บคอ, หรือหายใจลำบาก
การป้องกัน
- การปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัย: เช่น การสวมถุงมือ, หน้ากาก, และการล้างมืออย่างสม่ำเสมอเมื่อต้องสัมผัสกับสุกร
- การปรุงอาหารให้สุก: หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสุกรที่ยังไม่สุกอย่างทั่วถึง
- การควบคุมการระบาดในฟาร์ม: การรักษาความสะอาดในฟาร์ม และการตรวจสุขภาพสุกรอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างเย็นตัวลงเพิ่มขึ้นอีก ทุกท่านควรหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากว่ามีอาการผิดปกติให้พบแพทย์หรือสาธารณสุขใกล้บ้าน และขอให้ระวังหากท่านใดอยู่กับครอบครัวมีเด็กหรือผู้สูงอายุอยู่ใกล้ๆ ควรจะแยกตัวออกก่อนเพื่อป้องกันการติดต่อได้ง่ายนั้นเอง