เมื่อฤดูฝนเวียนมาถึงแล้ว สิ่งที่มาพร้อมกับสายฝนไม่ใช่แค่ความชุ่มฉ่ำเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์บนท้องถนน หรือน้ำท่วมฉับพลัน และภัยจากธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้น “ประกันภัยรถยนต์” จึงเป็นสิ่งที่หลายคนควรกลับมาทบทวนอีกครั้งในช่วงฤดูกาลนี้ แล้วเราควรเลือกประกันภัยแบบไหนดีให้คุ้มค่าและครอบคลุมจริงในช่วงหน้าฝน
แต่หลายคนเชื่อมั้ยว่าความเสี่ยงเหล่านี้สามารถจัดการได้ล่วงหน้าด้วย “ประกันภัย” ที่เหมาะสม แต่คำถามสำคัญคือ…
ฝนนี้ควรเลือกประกันภัยแบบไหนดีให้ครอบคลุมความเสี่ยงในชีวิตจริง
บทความนี้จะช่วยให้คุณได้วิเคราะห์ได้อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกประกันภัยได้อย่างมั่นใจ

ทำไมหน้าฝนถึงต้องใส่ใจเรื่องประกันภัยรถยนต์มากกว่าปกติ?
ฤดูฝนคือช่วงที่อัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ จากหลายปัจจัย เช่น:
- ถนนลื่น เสี่ยงต่อการเบรกไม่อยู่หรือรถไถล
- ทัศนวิสัยต่ำจากฝนตกหนักหรือหมอก
- น้ำขังบนถนน ทำให้เครื่องยนต์ดับหรือรถเสียหาย
- พื้นที่ต่ำเกิดน้ำท่วมฉับพลันโดยไม่ทันตั้งตัว
- พฤติกรรมผู้ขับขี่เร่งรีบหรือขับเร็วเพื่อหนีฝน
ความเสียหายจากสถานการณ์เหล่านี้อาจทำให้คุณต้องเสียเงินค่าซ่อมรถหลักหมื่นถึงแสนบาท ซึ่งประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมสามารถช่วยคุณลดภาระตรงนี้ได้อย่างมาก
ประเภทของประกันภัยรถยนต์: เข้าใจก่อนเลือก
ก่อนตัดสินใจเลือกประกันสำหรับฤดูฝน มาทบทวนประเภทของประกันภัยรถยนต์หลักๆ กันก่อน
ประเภท | ความคุ้มครองหลัก | เหมาะกับใคร |
---|---|---|
ชั้น 1 | ครอบคลุมทุกกรณี (รถชน, น้ำท่วม, รถหาย, ไฟไหม้, ไม่มีคู่กรณีก็เคลมได้) | ผู้ใช้รถประจำ, รถใหม่, อยู่ในพื้นที่เสี่ยง |
ชั้น 2+ | คุ้มครองกรณีชนมีคู่กรณี, รถหาย, ไฟไหม้ | รถอายุ 5 ปีขึ้นไป, ใช้งานน้อย |
ชั้น 3+ | คุ้มครองคู่กรณีและรถคุณ (กรณีชนกับยานพาหนะทางบก) | รถเก่า, ขับในพื้นที่ปลอดภัย |
ชั้น 3 | คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี (ชีวิตและทรัพย์สิน) | รถแทบไม่ใช้งาน หรือมีรถหลายคัน |
ฝนนี้เลือกประกันแบบไหนดี?
✅ ประกันชั้น 1: ตัวเลือกที่ดีที่สุดในฤดูฝน
หากต้องการ “ความอุ่นใจสูงสุด” ไม่ว่าจะเจอฝน รถลื่น หรือเคราะห์ร้ายโดนน้ำท่วม ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 คือคำตอบที่คุ้มค่า เพราะครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น:
- ชนกับรถ มีหรือไม่มีคู่กรณีก็เคลมได้
- รถเสียหายจากน้ำท่วม/น้ำรั่วเข้าห้องเครื่อง
- ไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจร
- รถหายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
- ค่าเสียหายต่อคู่กรณี (ชีวิต/ทรัพย์สิน)
เคล็ดลับ: เลือกบริษัทที่ระบุชัดเจนว่า “คุ้มครองน้ำท่วม” ในรายละเอียดกรมธรรม์ บางบริษัทมีข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดชอบ
✅ ประกัน 2+ หรือ 3+: ประหยัดแต่ยังอุ่นใจ
หากคุณมีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการความคุ้มครองในระดับพื้นฐาน ประกันภัยชั้น 2+ หรือ 3+ เป็นทางเลือกที่ดี
ประกันภัยรถยนต์ 2+ เหมาะสำหรับรถอายุ 5 - 10 ปี
ประกันภัยรถยนต์ 3+ เหมาะสำหรับรถเก่าหรือขับน้อย
จุดสำคัญ: ต้องมีคู่กรณี (ยานพาหนะ) จึงจะเคลมความเสียหายรถคุณได้ และ มักไม่ครอบคลุมน้ำท่วม เว้นแต่จะมีระบุไว้ชัดเจน
สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมก่อนเลือกประกันในฤดูฝน
- พื้นที่ที่คุณใช้รถเป็นประจำ หากอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ควรเลือกแผนที่ “คุ้มครองน้ำท่วม” โดยเฉพาะ
- พฤติกรรมการขับขี่ของคุณ ขับบ่อย เดินทางไกล เจอฝนบ่อย = ประกันภัยชั้น 1 คุ้มกว่า
- ความพร้อมในการรับผิดชอบค่าเสียหายเอง หากรถไม่ใช่คันหลัก และคุณยอมจ่ายค่าซ่อมเองบ้างได้ ชั้น 2+/3+ ก็เป็นตัวเลือกที่ประหยัด
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (24 ชั่วโมง) หน้าฝนมีโอกาส “รถดับกลางทาง” มากกว่าปกติควรเลือกประกันที่มีบริการลากรถ ช่างฉุกเฉิน หรือเปลี่ยนแบตฟรี
สรุป: ฝนตกไม่ต้องกังวล ถ้าเลือกประกันให้เหมาะกับคุณ
ลักษณะผู้ใช้รถ | แนะนำประกัน |
---|---|
ขับรถทุกวัน, รถใหม่, อยู่ในเมืองใหญ่/น้ำท่วมง่าย | ประกันชั้น 1 |
รถอายุ 5 ปี+, ใช้ขับแค่วันหยุด | ประกัน 2+ |
รถเก่า, ใช้ในหมู่บ้าน, ขับน้อยมาก | ประกัน 3+ |
ต้องการประหยัดงบ, เน้นความคุ้มค่าขั้นพื้นฐาน | ประกัน 2+ พร้อมบริการฉุกเฉิน |
อย่าปล่อยให้ฝนตกเป็นฝันร้ายบนท้องถนน
ความเสียหายจากอุบัติเหตุและน้ำท่วมอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในฤดูฝน อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยหาประกัน เพราะตอนนั้นอาจสายไปแล้ว

สำหรับใครที่มองหาประกันภัยรถยนต์ราคาถูก และตรงกับความต้องการ สามารถทำได้ที่ ยิ้มได้ประกันภัย เพียงโทร 02-432-2345 หรือ ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่าน www.yimdaiinsurance.com เพื่อรับความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุด