นำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนด ดีอย่างไรนะ?

August 16, 2022 รถยนต์ นำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนด ดีอย่างไรนะ?

     อย่างที่ทุกท่านทราบรถยนต์ทุกคันเมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วจำเป็นจะต้องนำรถเพื่อไปเข้ารับบริการตรวจสภาพและบำรุงรักษา หรือเรียกให้ถูกต้องคือ การเช็คระยะ ซึ่งหลายคนมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และนำรถเข้าตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ แต่ในทางตรงกันข้ามยังมีหลายคนที่ละเลยเพราะอาจคิดว่าไม่เป็นอะไร แต่จริงๆ แล้วเรื่องการตรวจเช็คระยะรถตามที่กำหนดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแค่ช่วยยืดอายุการใช้งานแต่ยังทำให้รู้ปัญหาก่อนที่จะลุกลามได้อีกด้วย

 

เช็คระยะรถยนต์ คืออะไร?

     การเช็คระยะรถยนต์ เป็นการบำรุงรักษาเพื่อช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของรถยนต์หลังใช้งาน และเป็นการตรวจสอบสภาพรถยนต์มากกว่าปกติ เช่น การตรวจลมยาง ตรวจเช็คแบตเตอรี่ หรือตรวจเช็คความสว่างของไฟ สำหรับช่วงที่ต้องนำรถเข้าไปเช็คระยะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  1. นับจากระยะเวลา (เริ่มตั้งแต่วันออกรถ)
  2. ดูจากระยะทาง (เลขไมล์ที่วิ่งใช้งานไป)

     ซึ่งหากผู้ขับขี่มีการใช้งานรถน้อยก็ให้คิดจากระยะเวลา แต้หากใช้รถเป็นประจำก็ให้คิดตามระยะทางที่ใช้งาน

 

เช็คระยะรถยนต์ เช็คตรงส่วนใดบ้าง?

     การเช็คระยะรถยนต์แต่ละครั้งจะทำการตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ดังนี้

เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสิ่งแรกที่ต้องทำในการตรวจเช็คระยะแต่ละครั้ง ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตรงตามกำหนดจะช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด ลดการสึกหรอและช่วยหล่อลื่นการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้
เช็คไส้กรองระบบต่างๆการตรวจสอบสภาพไส้กรอง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรองอากาศ กรองอากาศแอร์ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ควรเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด โดยรถในแต่ละรุ่นนั้นจะมีระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน แต่ถ้าปรับเปลี่ยนแล้วจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจสอบระดับของเหลวต่างๆระดับของเหลวที่อยู่ในระบบของเครื่องยนต์ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำมันเบรก น้ำมันพวงมาลัยเพราเวอร์ น้ำยาหม้อน้ำ น้ำยาฉีดล้างกระจก
ยางปัดน้ำฝนอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเวลาที่เปิดใช้งานที่ปัดน้ำฝน ใบยางที่ก้านนั้นจะต้องรีดน้ำบนกระจกได้อย่างสะอาด เพราะถ้าชำรุดจะทำให้รีดน้ำไม่ดี ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นของคนขับจึงควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนอย่างน้อยปีละครั้ง
ระบบไฟส่องสว่างต้องพร้อมเช็คระบบไฟส่องสว่างว่ายังใช้งานได้ดีไหม เพราะการทำงานของสัญญาณไฟต่างๆ ถ้ามีความพร้อมในการใช้งาน
กำลังไฟในแบตเตอรี่ต้องเต็มแบตเตอรี่จะถูกเปลี่ยนเมื่อสตาร์ทรถไม่ติด แต่สามารถตรวจสอบได้ว่าแบตเตอรี่มีกำลังไฟที่อ่อนหรือไม่
สายพรานต้องไม่หย่อนและยานสายพานของเครื่องยนต์นั้นมีการเสื่อมสภาพไปตามระยะทางที่ใช้งานซึ่งอาจทำใ้ห้เกิดเสียงดังหรือขาดระหว่างการขับขี่
เช็คระบบเบรกเพื่อตรวจสภาพและความหนาของผ้าเบรกว่าใกล้หมดอายุแล้วหรือไม่ ในการตรวจสอบนั้นผ้าเบรกควรเปลี่ยนเมื่อความหนาของผ้าเบรกอยู่ที่ 3 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่านั้น นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบรอยรั่วซึมของท่อทางน้ำมันเบรก
ยางรถยนต์ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานยางรถยนต์นั้นจะต้องมีความลึกของร่องดอกยางมากกว่า 3 มม. เนื้อยางต้องไม่มีร่องรอยการฉีดขาด และควรปรับแรงดันยางมาตรฐานกำหนด
ทำการสลับยางและถ่วงล้อในการสลับยางต้องสลับยางจากด้านหน้าไปไว้ด้านหลัง และปรับความสมดุลของล้อและยางด้วยการถ่วงล้อ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางให้นานขึ้น
ตรวจเช็คช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวโดยช่างจะทำการตรวจสอบการรั่วซึมของระบบช่วงล่าง ทั้งในส่วนของโช้คอัพ ลูกหมาก ลูกปืนล้อ ยางหุ้นเพลา

ข้อดีของการเช็คระยะรถยนต์

     การนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนดที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยยืดอายุการทำงานของรถยนต์ เนื่องจากการใช้งานรถทุกวันทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ อาจทำให้อะไหล่สึกหรอจนส่งผลต่อระบบอื่นๆ ดังนั้น การตรวจเช็คจึงช่วยให้เรารู้ว่ามีระบบไหนที่เริ่มเสื่อม ต้องทำการเปลี่ยนอะไหล่หรือการซ่อมบำรุง

     นอกจากนี้การเช็คระยะรถยนต์ยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมแซมที่อาจบานปลายหากตรวจพบอาการเสื่อมสภาพหรือสึกหรอช้าเกินไป 

 

เช็คระยะรถยนต์ แต่ละช่วงต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง

     การตรวจเช็คระยะรถยนต์โดยการนำรถเข้าไปเช็คจะต้องเข้าตามหลักกิโลเมตร หรือตามระยะเวลาขึ้นอยู่ว่าแบบไหนถึงก่อนกัน

ระยะเวลาประมาณ 1 - 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
  • ความสมบูรณ์ของยางรถยนต์
  • จานเบรกและผ้าเบรกหน้า
  • น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์และไส้กรอง
  • ระบบแบตเตอรี่ น้ำกลั่น และแรงดันไฟ
ระยะเวลาประมาณ 6 - 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
  • สลับยาง ถ่วงล้อ แรงตึงน็อตของล้อ
  • โช้คอัพหน้า-หลัง
  • จานเบรกและผ้าเบรกหลัง รวมถึงการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันเบรก
  • ระบบคลัทข์ การรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันคลัทซ์
  • อัดจารบีช่วงล่าง
  • ยางหุ้มเพลาขับ
  • ลูกปืนล้อหน้าและล้อหลัง
  • น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์และไส้กรอง
  • ที่ปัดน้ำฝนและที่ฉีดน้ำล้างกระจก
ระยะเวลาประมาณ 12-24 เดือน หรือทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร
  • ตั้งศูนย์
  • ล้างห้องเครื่อง
  • สายพานพวงมาลัยเพาเวอร์
  • ระบบคันชักคันส่ง ลูกหมาก และยางกันฝุ่น
  • น้ำมันเกียร์ธรรมดาและเฟืองท้าย
  • สายพานขับและสายพานเครื่องยนต์
  • ระบบกรองอากาศแบบดีเซล
ระยะเวลาประมาณ 12-24 เดือน หรือทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร
  • น้ำมันเบรกและน้ำมันคลัชท์
  • น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
  • น้ำมันเกียร์ออโต้
  • น้ำมันหล่อเย็นเครื่องยนต์
  • ระบบกรองอากาศแบบเบนซิน
  • ระบบหัวเทียนแบบทั่วไป
ระยะไม่เกิน 60 เดือน (5 ปี) หรือ 100,000 กิโลเมตรขึ้นไป
  • ระบบหัวเทียนแบบอิริเดียม

 

เช็คระยะรถยนต์เกินเวลาที่กำหนดจะมีผลอย่างไร

      การเช็คระยะรถยนต์โดยตามปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับทางผู้จำหน่ายกำหนดไว้ รวมถึงประเภทของรถยนต์ โดยเริ่มตั้งแต่ 1,000 กิโลเมตร (สำหรับรถออกใหม่) และทุกๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 15,000 กิโลเมตร ไปจนกระทั่ง 100,000 กิโลเมตร จึงสิ้นสุดการประกันสำหรับรถใช้งานปกติ

      ดังนั้น การเข้ารับบริการตรวจเช็คไม่ควรเกินระยะที่กำหนดไว้ตามคู่มือ หรือตามที่ศูนย์บริการนัดหมาย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ควรเกินกว่า 100 - 200 กิโลเมตร แต่สามารถเข้าตรวจเช็คได้ก่อน ทั้งนี้หากมีระยะในการตรวจเกินกว่ากำหนดจะมีผลต่อเครื่องยนต์ เบรก และส่วนอื่นๆ โดยตรง

     เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับข้อดีของการนำไปเช็คระยะตามที่กำหนด เรื่องความปลอดภัยขณะขับขี่บนท้องถนนก็มีความสำคัญไม่แพ้กันนะครับ ซึ่งการทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นส่วนช่วยในการเพิ่มความอุ่นใจขณะขับขี่อีกด้วย

สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ราคาถูก และตรงกับความต้องการ สามารถทำได้ที่ ยิ้มได้ประกันภัย เพียงโทร 02-432-2345 หรือ ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่าน www.yimdaiinsurance.com เพื่อรับความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุด