ก่อนจะติดฟิล์มรถยนต์เราต้องเลือกความเข้มของฟิล์มก่อนว่าจะเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะกับการขับขี่มากที่สุด เพราะนอกจากฟิล์มจะช่วยป้องกันรังสี UV ต่างๆ แล้ว ช่วยลดการเกิดอันตรายต่อผิว และช่วยลดความร้อนภายในรถได้อีกด้วย ซึ่งฟิล์มกรองแสงรถยนต์จะมีให้เลือกหลากหลายประเภทมาก และก็มีความเข้มหลากหลายสีอีกด้วย และแต่ละความเข้มแตกต่างกันอย่างไร
ฟิล์มรถยนต์จะมีความหลากหลายแบบและหลากหลายรุ่น เพื่อที่จะตอบโจทย์ต่อการใช้งานของผู้ขับขี่ด้วย โดยฟิล์มที่เป็นที่นิยมจะมีอยู่ในท้องตลาด ดังนี้
1.ฟิล์มกรองแสงแบบย้อมสี (Dyed Window Tint)
เป็นฟิล์มที่สามารถกรองแสงจากแสงอาทิตย์เพื่อให้มีความเข้มที่น้อยลง สะท้อนรังสีได้บางส่วนหรือบอกได้เลยว่าแทบไม่กันรังสี UV เลย และช่วยลดปริมาณความร้อนได้ค่อนข้างน้อยไม่เกิน 50% มีอายุการใช้งานที่สั้นอีกด้วยประมาณ 3 - 5 ปี เท่านั้น
2.ฟิล์มกรองแสงแบบย้อมสี (Dyed Window Tint)
เนื้อฟิล์มชนิดนี้สะท้อนแสงได้ดี เนื่อจากมีการเคลือบด้วยไอโลหะชนิดต่างๆ หรืออย่างที่เราคุ้นชินกันในชื่อ ฟิล์มปรอท ,ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน สามารถช่วยลดความร้อนได้ดีถึง 35 - 90% มีอายุการใช้งานประมาณ 3 - 7 ปี
3.ฟิล์มกรองแสงคาร์บอน (Carbon Window Tint)
เป็นฟิล์มที่มีการนำโมเลกุลของคาร์บอนมาผสมไว้ในเนื้อฟิล์ม มีคุณสมบัติ เหมือนกันฟิล์มปรอทแต่ไม่ได้วาวเหมือนกระจกยังสามารถสะท้อนแสง และลดความร้อนได้ดีเช่นเดียวกัน จุดเด่นของฟิล์มชนิดนี้เมื่อดูจากภายนอกจะดูเป็นสีดำเข้ม แต่มองจากภายในรถยังมีความใส ให้ความชัดเจน อายุการใช้งานเกิน 10 ปี ป้องกันรังสีอินฟราเรดได้สูงถึง 40%
4.ฟิล์มกรองแสงเซรามิก (Ceramic Window Tint)
เป็นฟิล์มที่มีการนำอนุภาคเซรามิกที่ไม่นำไฟฟ้า และไม่เป็นโลหะมาเป็นส่วนประกอบในฟิล์ม จะเรียกกันว่า “นาโนเซรามิก” หากมองจากภายนอกจะมีความสว่าง ไม่มืดทึบ ไม่บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นตอนขับขี่ แต่ยังมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ และรังสี UV ได้ดีเยี่ยมถึง 99%
5.ฟิล์มกรองแสงไฮบริด (Hybrid Window Tint)
ฟิล์มประเภทนี้เป็นการผสมผสานระหว่างฟิล์ม 2 ชนิด โดยการหยิบคุณสมบัติที่ดีมารวมกัน มีคุณสมบัติในการกรองแสง และลดความร้อนดียิ่งขึ้นกว่า 70% สามารถป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99% สะท้อนแสงได้ดี แต่ไม่วาวมาก อายุการใช้งาน 5-7 ปีขึ้นไป และในฟิล์มบางประเภทอาจสูงถึง 7-10 ปีขึ้นไป
ขัดไฟหน้าให้ใสวิบวับเหมือนใหม่ ทำได้เองไม่ยาก! อ่านเพิ่มเติม คลิก
ติดฟิล์มรถยนต์กี่เปอร์เซ็นต์ ถึงได้ควาเข้มที่เหมาะสม?
ถึงแม้ว่าระดับความเข้มของฟิล์มที่สูงจะช่วยลดความร้อนและแสงแดดที่เข้ามาในตัวรถ แต่ความมืดจากฟิล์มรถยนต์อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้เช่นกัน เพราะว่าคนขับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดในขณะขับรถ โดยระดับความเข้มของฟิล์มรถยนต์ที่คนนิยมใช้กัน คือ ความเข้ม 40 ,60 และ 80 เปอร์เซ็นต์
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ความเข้ม 40% | ฟิล์มชนิดนี้มีความทึบ 40% ค่าของแสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 35 % ขึ้นไป ทำให้ตัวฟิล์มมีลักษณะค่อนข้างใส ส่วนใหญ่จะใช้ติดกระจกด้านหน้าเพื่อมองให้เห็นชัดมากขึ้น |
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ความเข้ม 60% | ฟิล์มชนิดนี้มีความทึบ 60% ค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 15 - 20 % เท่านั้น ซึ่งเป็นค่าความเข้มที่คนส่วนใหญ่นิยมเลือกใช้ไว้รอบคัน เพราะว่ามีความเข้มที่ทึบกำลังดี สามารถกรองแสงและลดความร้อนได้ไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน |
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ความเข้ม 80% | ฟิล์มชนิดนี้มีความทึบ 80% ค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 5 % เท่านั้น สามารถกันความร้อนและกรองแสงได้เป็นอย่างดี แต่ไม่แนะนำให้ติดไว้รอบคัน เพราะอาจทำให้มืดเกินไป หากไปใช้ขับในเวลากลางคืนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ความเข็มเท่านี้ไม่นิยมติดกระจกบานหน้า |
"ล้างคราบยางมะตอย" ด้วยตนเอง ทำเองได้ง่ายนิดเดียว อ่านเพิ่มเติม คลิก!
ประโยชน์ของฟิล์มกรองแสงรถยนต์
ฟิล์มรถยนต์เป็นแผ่นฟิล์มบางๆ ที่ติดบนกระจกรถยนต์ มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
1. ลดความร้อนจากแสงแดด: ฟิล์มรถยนต์ช่วยกรองแสงแดดและความร้อนได้ ทำให้ภายในรถเย็นสบายขึ้น ลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ช่วยประหยัดน้ำมัน
2. ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต: ฟิล์มรถยนต์ช่วยป้องกันรังสี UVA และ UVB จากแสงแดดได้ถึง 99% ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และมะเร็งผิวหนัง
3. ป้องกันแสงจ้า: ฟิล์มรถยนต์ช่วยลดแสงจ้าจากแสงแดด ช่วยถนอมสายตา ลดอาการล้าตา
สรุปแล้วก็คือฟิล์มรถยนต์มีประโยชน์หลายประการ ช่วยให้ขับขี่ปลอดภัย สะดวกสบาย และประหยัด แต่ควรเลือกฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณภาพ จากร้านที่ได้มาตรฐาน และติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญเท่านั้นนะครับ