พ.ร.บ. รถยนต์คืออะไร

February 22, 2021 รถยนต์ พ.ร.บ. รถยนต์คืออะไร

   พ.ร.บ. เป็นคำที่ใครหลายๆ คนเคยได้ยินหรือบางคนอาจจะรู้จักมาบ้างแล้ว แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความหมายของ พ.ร.บ. ว่าคืออะไร มีความสำคัญและเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเรา และถ้าไม่ทำจะผิดกฎหมายหรือไม่ 

 

ความหมายของ พ.ร.บ.

   คือการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับตามกฎหมายใน พ.ร.บ. ปี 2535 ที่กฎหมายกำหนดให้ยานพาหนะที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก จะต้องทำ พ.ร.บ. ก่อน จึงจะต่อทะเบียนรถได้ โดยจุดประสงค์ก็เพื่อให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้ประสบเหตุจากการใช้รถได้อย่างทันท่วงที โดยที่ไม่คำนึงว่าบุคคลที่ประสบเหตุนั้นจะเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ ซึ่งกฎหมายจะให้ความคุ้มครองต่อตัวคู่กรณีและผู้เอาประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบของเงินชดเชยและค่ารักษาพยาบาลตามที่กฎหมายกำหนด พ.ร.บ. นี้จะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลเท่านั้น  ซึ่งไม่ได้คุ้มครองรถยนต์นะคะ แต่ถ้าไม่ทำ พ.ร.บ. จะมีความผิดทางกฎหมายจราจรเสียค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาท

 

สิทธิที่ต้องรู้ไว้สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น

  1. ไม่ต้องรอพิสูจน์ว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก ในกรณีบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลคนละ 30,000 บาท และในกรณีสูญเสียอวัยวะตามเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับคนละ 35,000 บาท
  2. ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ และมีการสุญเสียอวัยวะตามมาจะได้รับคนละไม่เกิน 65,000 บาท
  3. กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินค่าทำศพคนละ 35,000 บาท แต่ถ้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วเกิดเสียชีวิต จะได้รับเงินชดเชยคนละไม่เกิด 65,000 บาท

 

สำหรับค่าสินไหมทดแทน 

   เป็นเงินที่ชดเชยที่จะได้รับหลังจากพิสูจน์ว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก ซึ่งสิ่งที่ฝ่ายถูกจะได้รับ

  1. ค่ารักษาพยาบาลเบิกตามจริง หรือไม่เกิน 80,000 บาท
  2. ในกรณีเกิดสูญเสียอวัยวะ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับเงินชดเชย 200,000-300,000 บาท
  3. กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร จะได้รับเงินชดเชย 300,000 บาท
  4. กรณีผู้ป่วยใน จะได้รับเงินค่าชดเชยการรักษาตัววันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน รวมเป็นเงิน 4,000 บาท รวมถึงค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดโดยจะได้คนละไม่เกิน 304,000 บาท

 

    สำหรับบางคนที่อยากจะทำประกันภัยภาคสมัครใจร่วมด้วย ก็สามารถทำเพิ่มได้นะคะ เพราะวงเงินเอาประกันภัยของ พ.ร.บ. ค่อนข้างน้อย ไม่ครอบคลุมความเสียหายหรือสูญหายของรถยนต์ ทำให้คนส่วนมากนิยมทำประกันภัยเพิ่ม ซื้อประกันภัยภาคสมัครใจนั้นมีอยู่  5 ประเภท คือ ประกันภัยชั้น 1, 2, 2+, 3, และ 3+ เพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละชั้นนั้นมีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน สำหรับคนที่ต้องการทำเพิ่มต้องเลือกความคุ้มครองที่เหมาะกับการใช้งานของคุณด้วยนะคะ